ทีมหงส์แดง คืนชีพ ได้อย่างสมบูรณ์

 

 

 

ศึกฟุตบอลท่ามกลาง ฝนปรอยๆ จาก เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม และ ทีมลิเวอร์พูล สามารถ ก้าวผ่าน อีก 1 ความยากประจำฤดูกาลนี้ และผ่านบททดสอบสำคัญหลังบุกมาชนะเจ้าถิ่น ทีมเซาแธมป์ตัน 2 – 0 แบบสนุก ตื่นเต้น

 

 

ถ้าจะกล่าวถึง ตัวเลข ที่ถูกพูดถึงกันมากหลังเกม คือ การแซง ทีมสเปอร์ส ขึ้นอันดับ 6 โดยมีแต้มตามหลัง ทีมนักบุญ ในอันดับ 5 เพียง 1 คะแนน

 

 

และยังอยู่ห่างพื้นที่เข้าเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อันดับที่ 3 ทีมอาร์เซนอล และอันดับที่ 4 ทีมแมนฯยูไนเต็ด เพียง 3 และ 2 คะแนนตามลำดับเท่านั้น

 

 

ดังนั้นเปรียบกับสถานการณ์เมื่อ 14 ธันวาคม จาก ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่ ลิเวอร์พูล บุกพ่าย ทีมปีศาจแดง 0 – 3 แล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

 

โดยหลังเกมดังกล่าวที่กลายเป็นแมตช์สุดท้ายที่ ทีมลิเวอร์พูล แพ้ในลีก และแมตช์สุดท้ายที่เสียประตูเกมเยือน ทีมลิเวอร์พูล มีแต้มห่างจาก หลุยส์ ฟาน ฮัล และลูกทีมถึง 10 คะแนน

 

 

 

 

ในฤดูหนาวช่วงก่อนคริสต์มาสดังกล่าวดูไม่เป็นใจ และอยากจะคาดคิดว่า ทีมลิเวอร์พูล นั้นจะเก็บชัยชนะได้ถึง 7 จาก 10 นัดหลังจากนั้นในพรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้ใคร และทำอันดับ/แต้ม พุ่งขึ้นมาโซน UCL ได้อย่างน่าทึ่ง

 

 

และนั่นแหล่ะครับ ผมขอมอบ เครดิต การตัดสินใจที่ถูกต้องของ แบรนแดน ร็อดเจอร์ส อย่างน้อยๆ 10 ประการมาฝากกันนะครับ

 

 

ข้อที่ 1. ในการปรับมาเล่นระบบ 3 – 4 – 3 นับตั้งแต่นัดสุดท้ายที่แพ้ในพรีเมียร์ลีกกับ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และก็ทำได้ดีจาก ทรัพยากร ที่มีอยู่

 

 

ข้อที่ 2. ด้วยระบบดังกล่าว ร็อดเจอร์ส นั้นยังจับ เอมเร่ ชาน ดาวเตะเยอรมันจากมิดฟิลด์ไปยืนเป็นแกนหลัก 1 ใน 3 คนแนวรับ และก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม

 

 

ข้อที่ 3. สำหรับการให้โอกาสเจ้าหนู ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้กลับไปพักผ่อนที่จาไมก้าก่อนจะกลับมาทำผลงานได้ดีใน ศึกแคปิตอล วัน คัพ นัดตัดเชือกกับ ทีมเชลซี จนกระทั่งตอนนี้ และน่าจะเล่นดี / ยิงได้ไปจนจบซีซั่น

 

 

ข้อที่ 4. กรณีที่จู่ๆ กับเจ้าอีกดาวเตะวัย 19 ปี จอร์ดอน ไอบ์ มา แจ้งเกิด ทางฝั่งขวาในเกมสำคัญ ดาร์บี้แมตช์ กับเอฟเวอร์ตัน และเลือกเป็นตัวหลักแซงหน้า เกล็น จอห์นสัน ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว

 

 

 

 

ข้อที่ 5. สำหรับการสั่งพัก ซิมง มินโญเล่ต์ แบบ ไม่มีกำหนด และแม้จะกลับมาเร็วเกินคาดเพราะ แบรด โจนส์ ได้รับบาดเจ็บ ทว่า เวลาว่าง ที่หายไป ได้ทำให้นายด่านเบลเยียมกลับมา คืนฟอร์ม ได้อย่างเหลือเชื่อ

 

 

ข้อที่ 6. ในการการตัดสินใจในเรื่องอนาคต สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่บังเอิญตอนนี้เจ็บ และกลายเป็นว่า ทีมลิเวอร์พูล นั้นไม่จำเป็นต้องมีกัปตันทีมคนเก่งเป็นแกนหลักอีกแล้ว แม้ว่า บทจบ จะไม่ค่อยสวยงามนักก็ตาม

 

 

ข้อที่ 7. สำหรับการ รับมือ ปัญหา มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่แม้จะยังไม่ได้มีเครื่องพิสูจน์ว่า ประสบความสำเร็จ ทว่าผลงานของ ซูเปอร์มาริโอ ใน 3 นัดหลังไม่รวมนัดชนะ ทีมเซาแธมป์ตัน ดูกลับมา สดใส ขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับต้องยอมรับว่า แฟนบอลยังไม่ได้ยินปัญหาระหองระแหง หรือเรื่อง งี่เง่า ๆ ของบาโลเตลลี่ เหมือนในอดีตกับทีมเก่าๆ ของเค้า

 

 

ข้อที่ 8. ในเรื่องของการจับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นหน้าเป้าสไตล์ False No9 หลังทีมเจอปัญหาการเสียตัวหลักในการทำประตูอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ จากการบาดเจ็บ ในขณะที่ ริคกี้ แลมเบิร์ต และ มาริโอ บาโลเตลลี่ ยังคลำฟอร์มเก่งไม่เจอ

 

 

ข้อที่ 9. การรีดพลัง เฟลิเป้ คูตินโญ่ ให้ฟื้นคืนชีพ และกลายเป็นกำลังหลักของทีมในระบบกองหน้า 3 ตัว ทุกวันนี้ ดาวเตะบราซิเลียน ถือเป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้ และลงเป็นตัวจริงติดต่อกันมา 19 นัดแล้ว โดยมีถึง 17 นัดที่เล่นครบ 90 นาที

 

 

ข้อที่ 10. สำหรับเกมรับที่มี มาร์ติน สเคอร์เทล กลับมาระเบิดฟอร์มเหนียวอีกหน กำลังสร้างสถิติไม่เสียประตูในเกมเยือนได้ถึง 469 นาที หรือกว่า 5 นัด

 

 

ซึ่งนับว่าดีที่สุดนับจากยุค ปี 1985 จาก อลัน แฮนเซ่น – มาร์ค ลอว์เรนสัน ที่ ทีมลิเวอร์พูลไม่เสียประตูเกมเยือนติดต่อกัน 5 นัด

 

 

 

 

สำหรับ เกมกับ ทีมเซาแธมป์ตัน แม้จะประเด็น ฮอต ไม่แพ้กันกับการตัดสินของ เควิน เฟรนด์ ที่ ปฏิเสธ จุดโทษเจ้าบ้าน 3 ครั้ง และอาจจะเป็น ใบแดง อีก 2 หนจนเจ้าถิ่นไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากการตัดสิน

 

 

แต่ One – nil to the referee คือ เสียงร้องแฟนๆ นักบุญ ตอนพักครึ่งส่งถึง เฟรนด์ อันหมายถึง ทีมลิเวอร์พูล นำ  1 – 0 ในครึ่งแรกเพราะกรรมการ!

 

 

ซึ่งถ้าจะพิจารณาแต่ละนาที หากจะรายงานในสไตล์ โจเซ่ มูรินโญ่ :

 

 

  • ในนาทีที่ 1 ฟิลิป ยูริซิช โดน เอมเร่ ชาน เหนี่ยวในเขตโทษ ซึ่งน่าจะเป็นจุดโทษ และใบแดงสำหรับดาวเตะสายเลือดเยอรมัน
  • ในนาทีที่ 4 ยูริซิช โดน โจ อัลเลน สอยคว่ำแบบไม่โดนบอลในเขตโทษ แต่ก็ไม่ได้จุดโทษเช่นกัน
  • ในนาทีที่ 44 เดยัน ลอฟเรน ทำแฮนด์บอลชัดเจน แต่ เฟรนด์ ก็ไม่เห็นอีกเช่นเคย
  • และปิดท้ายนาทีที่ 45 ซิมง มินโญเล่ต์ ออกมาตัดบอล แล้วก้ำกึ่งจะแฮนด์บอลนอกกรอบเขตโทษที่มีสิทธิ์โดนใบแดง แต่ผลการตัดสินก็เหมือนเดิม

 

 

และเมื่อเป็นดังนั้นก็ไม่แปลกครับสำหรับเสียงตะโกน One – nil to the referee

 

 


 

 

ในขณะที่ ทีมลิเวอร์พูล เองมี 1 เหตุการณ์นาทีที่ 31 ซึ่ง สเตอร์ลิ่ง โดน โจเซ่ ฟอนเต้ สกัดทั้งบอล และคนในเขตโทษให้ได้ โต้แย้ง แต่ส่วนตัวผมมองว่า ดอกนี้ ฟอนเต้ โดนบอล จึงขอยกผลประโยชน์ให้จำเลย

 

 

สำหรับทุกเหตุการณ์ข้างต้น มองในมุมการตัดสินได้ 2 ประการ คือ :

 

 

  • ข้อที่ 1. หาก เควิน เฟรนด์ ไม่แน่ใจก็ เหมาะสม แล้วที่ไม่ให้จุดโทษจากทั้ง 4 เหตุการณ์ข้างต้นที่ ให้ได้ หรือ ไม่ได้ ไล่มินโญเล่ต์ ออกไป
  • ข้อที่ 2. มัน ไม่เหมาะสม อย่างแรง เพราะในมุมนี้จะมองว่า เฟรนด์ ไม่ทันเกม และตัดสินผิดพลาดบ่อยครั้งอย่างเหลือเชื่อในแมตช์เดียว

 

 

มาถึงตอนนี้ ทีมลิเวอร์พูล เตรียมตบเท้าเข้ารอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ ในรอบ 8 ทีมได้เจอ ทีมแบล็คเบิร์น ในแอนฟิลด์ และในขณะที่ในบอลลีกก็ถือว่า ทีมหงส์ คัมแบ็กได้แล้วอย่างเป็นทางการ

 

 

และนี่ช่างเป็นการ คืนชีพ ที่เหลือเชื่อ และแบรนแดน ร็อดเจอร์ส คู่ควรกับเครดิตจริง ๆ ครับ

 

 

ไข่มุกดำ

 

ที่มา: http://sport.sanook.com/134833/

Comments

You are not authorized to see this part
Please, insert a valid App IDotherwise your plugin won't work.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

You may have missed

Plugin from the creators ofBrindes Personalizados :: More at PlulzWordpress Plugins