ดูทีวีออนไลน์ วันนี้ เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รร.เอส ซี ปาร์ค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยทีมทนายความ ออกแถลงการณ์ขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ชี้มูลความผิดโครงการรับจำนำข้าว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ปปช. ไม่เป็นธรรมกรณีชี้มูลความผิดกรณีตั้งข้อสังเกตุ ป.ป.ช. เร่งตัดสินคดีดังกล่าว และเลือกฟังเฉพาะพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน ไม่สอบสวนการลงบันทึกบัญชี
ในส่วนกรณีการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ยืนยัน เป็นการเดินทางส่วนตัวและมีการกำหนดการชัดเจน ก่อนที่ปปช.จะชี้มูลความผิด
พร้อมกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวข้อความทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ดิฉันเป็นราษฎร์เต็มขั้นก็ควรจะมีเสรีภาพเยี่ยงคนไทยทั่วไปยืนยันไม่ทิ้งพี่น้องคนไทและ พร้อมกลับมาประเทศไทย
กราบเรียนพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ดิฉันว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดิฉันนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า
1.กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่ เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวใช้เวลาเพียง แค่ 21 วัน และหลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉัน ภายใน 140 วันซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่น ๆ ที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าว ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล้าช้า . โครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช. กลับไม่มีความคืบหน้า อันถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน
2. นอกจากนี้ ในการปฏิบัติ ของ ป.ป.ช. เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์ รวบรัด เป็นกรณีพิเศษดังนี้ เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้ง ๆ ที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริง กรณีการลงบันทึกบัญชีที่ข้อแย้งและแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด กรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้าน นายวิชา รวม 3 ครั้ง
3.นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายระดับประเทศ นายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้นเป็นการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆหลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง
4. นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่า คดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้ และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำ ข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย
5. ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน และสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช. ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแล สต็อกข้าว ทั้งองค์การคลังสินค้า อ.ค.ส. และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร อ.ต.ก.ได้ทำสัญญาต่าง ๆกับเจ้าของคลังสินค้า และบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐ มีความเสียหายจากข้าวหาย และข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
6. ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉันและเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยามเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆแต่ ป.ป.ช.กลับละเลย และปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
7. ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆนั้น ขอยืนยันว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัว และมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้า แล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย”
ผู้โดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวที่กำลังจะเดินทางไปร่วมการประชุมเอดส์นานาชาติครั้งที่ 20 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
มิเชล ซิดิเบ กรรมการบริหารโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจผ่านทวิตเตอร์ว่า “ขอแสดงความอาลัยและภาวนาแก่ครอบครัวของผู้ที่จากไป พร้อมเที่ยวบิน MH17 ผู้โดยสารส่วนใหญ่กำลังจะเดินทางมาร่วมประชุม AIDS 2014 ที่เมลเบิร์น”
นักวิจัยด้านโรคเอดส์ผู้มีชื่อเสียง และอดีตประธานสมาคมเอดส์สากล (International AIDS Society) เป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่เดินทางมากับเที่ยวบินดังกล่าว ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าน่าจะถูกยิงตกโดยขีปนาวุธชนิดจากพื้นดินสู่อากาศ ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 298 คน บนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด
“มีรายงานว่า อดีตประธานสมาคมเอดส์สากลที่โดยสารเครื่องบินลำนี้ได้เสียชีวิตพร้อมกับนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนที่จะเดินทางมาประชุมโรคเอดส์ นี่เป็นข่าวที่น่าเศร้าเสียใจยิ่ง” ข้อความในทวิตเตอร์ของกองทุนเนชันแนล เอดส์ ทรัสต์ ระบุ
ด้านสมาคมเอดส์สากลก็ออกมาแถลงยืนยันว่า “เพื่อนร่วมงานและมิตรสหายของเราหลายคน” กำลังเดินทางมาร่วมประชุมด้วยเที่ยวบิน
MH17 การประชุมเอดส์นานาชาติซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ถือเป็นเวทีเสวนาสำหรับนักเคลื่อนไหวที่ต้องการเน้นย้ำปัญหาการแพร่กระจายของโรคเอดส์ในระดับรากหญ้า รวมถึงงบประมาณที่ยังขาดแคลน โดยมีกำหนดเปิดฉากขึ้นในวันที่ 20 ก.ค. นี้ และมีผู้ลงนามเข้าร่วมการประชุมราว 12,000 คน รวมถึงอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ของสหรัฐฯ ติดตามชม ทีวีออนไลน์ ดูทีวี ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9
นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซียแสดงความรู้สึกตกใจอย่างมากหลังทราบข่าวเครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ ตกในยูเครน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเครื่องบินถูกยิงด้วยขีปนาวุธ ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด นับเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดกับเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์เป็นครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน หลังเครื่องบินMH370 ของสายการบินหายไปอย่างไร้รอ
นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ซึ่งแต่งกายในชุดดำ มีสีหน้าที่เศร้าหมอง ขณะแถลงข่าวในกรุงกัวลาลัมเปอร์ถึงโศกนาฎกรรมที่เกิดกับเครื่องบินโดยสารMH17 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่ตกในพื้นที่ทางภาคตะวันออกของยูเครน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเครื่องบินถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธ ขณะที่ญาติผู้โดยสาร ซึ่งมารวมตัวกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ต่างก็อยู่ในอาการเศร้าสลดและร่ำไห้
นายกรัฐมนตรีราซัค กล่าวว่า รู้สึกตกใจอย่างมากหลังทราบข่าวและว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือวันที่เศร้าสลดและเป็นปีแห่งความสูญเสียของมาเลเซีย พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ได้ส่งทีมสืบสวนเดินทางไปที่ยูเครนแล้วเพื่่อหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดอะไรกับเครื่องบิน นายราซัคยังบอกอีกว่าได้โทรศัพท์สนทนากับประธานาธิบดีเปโตร โปโลเชนโก้ ผู้นำยูเครนเกี่ยวกับการสืบหาสาเหตุของโศกนาฎกรรม โดยนายโปโรเชนโก้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างเต็มที่และเป็นอิสระ นอกจากนี้นายโปโรเชนโก้ยังยืนยันด้วยว่า จะเจรจากับกลุ่มกบฎทางภาคตะวันออกเพื่อให้จัดตั้งพื้นที่เพื่อมนุษยธรรมในจุดที่เครื่องบินตกเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ของยูเครนและมาเลเซียเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
นายราซัคยังกล่าวตอบข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดเครื่องบินโดยสารจึงใช้เส้นทางการบินเหนือเขตพื้นที่สู้รบในยูเครน โดยระบุว่า เป็นเส้นทางการบินที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศประกาศว่าเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยและว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่ชี้ชัดได้ว่าเครื่องบินถูกยิงด้วยขีปนาวุธหรือไม่ ขณะที่สายการบินชั้นนำของโลกต่างประกาศหลีกเลี่ยงเส้นทางการบินทางภาคตะวันออกของยูเครน
ชมทีวีออนไลน์ช่อง 5จากกรณีเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 อีอาร์ ของ สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 เส้นทางกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ มุ่งหน้าสู่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ประสบเหตุตกในประเทศยูเครน เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 298 คน ท่ามกลางกระแสข่าวต่างๆ และแนวทางการสืบสวนข้อเท็จจริง โลกโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างแชร์ข้อความสุดท้ายของหนุ่มชาวดัตซ์ หนึ่งในผู้โดยสารบนเที่ยวบิน MH17
ภาพเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่ถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อ “Cor Pan” ถูกแชร์ส่งต่อไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นภาพสุดท้ายที่หนุ่มชาวดัตซ์คนหนึ่งโพสต์เอาไว้ ก่อนขึ้นเครื่องบินจากกรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยระบุข้อความเป็นภาษาดัตซ์ว่า “Mocht hij verdwijen ,zo ziet hit d’r uit” หรือแปลว่า “เผื่อเครื่องบินลำนี้หายไป จะได้รู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง” ข่าว http://tv.sanook.com/
สำนักข่าวต่างประเทศยังคงเกาะติดรายงานสถานการณ์ เหตุเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 เส้นทาง กรุงอัมสเตอร์ดัม มายัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งถูกขีปนาวุธยิงระหว่างผ่านน่านฟ้าประเทศยูเครน จุดที่เกิดข้อพิพากแบ่งแยกดินแดนระหว่างยูเครนกับรัสเซีย เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 298 คน ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วนั้น
จากรายงานที่มีการเผยแพร่ออกมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการยืนยันชัดเจนว่า มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ที่ประสบเหตุตกในประเทศยูเครนนั้น ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าเป็นการก่ออาชญากรรมครั้งร้ายแรง ซึ่งระบุว่าเป็นขีปนาวุธจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ยิงใส่เครื่องบินลำดังกล่าว ขณะกำลังบินอยู่ในระดับ 33,000 ฟุต เหนือน่านฟ้าประเทศยูเครน
ขณะที่กลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนโดเนตสค์ กลุ่มฝักใฝ่รัสเซีย ได้ออกมาปฏิเสธเป็นต้นเหตุทำให้ มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ประสบเหตุตกในประเทศยูเครน พร้อมกับกล่าวอ้างว่า ฝ่ายรัฐบาลยูเครนต่างหากที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งนี้ เนื่องจากขีปนาวุธที่เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงใส่ คล้ายจะเป็นจรวดมิสไซล์ “BUK” ของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งมีวิถีการยิงค่อนข้างไกล แตกต่างจากยุทโธปกรณ์ของกลุ่มกบฏ ที่ไม่มีอาวุธกำลังแรงสูงขนาดนั้น
อย่างไรก็ตาม เหตุที่เกิดขึ้นกับ มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ยังคงเป็นปริศนา ประชาคมทั่วโลกต่างต้องการได้รับคำตอบที่แท้จริงว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับเครื่องบินเชิงพาณิชย์ลำดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในแวดวงการบินของโลก
ทั้งนี้ยังเกิดข้อสันนิษฐานว่า มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 อาจจะเป็นแค่เหยื่อของความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค มีการตั้งข้อสังเกตว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 อีอาร์ ของ มาเลเซีย แอร์ไลน์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับ เครื่องบินอิลยูชิน IL-96-300 พียู ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีรัสเซีย “วลาดิเมียร์ ปูติน” ไม่ว่าจะเป็นขนาดรูปร่างหรือแถบสีรอบตัวเครื่องบินมีความคล้ายกันเป็นอย่างมาก
Comments
Powered by Facebook Comments