Monthly Archives: July 2014

นางสาวยิ่งลักษณ์ข้องใจ! ทำไม ปปช.ต้องเร่งตัดสินคดีทุจริตจำนำข้าว

‘ยิ่งลักษณ์‘ ข้องใจ! ปปช.เร่งตัดสินคดีทุจริตจำนำข้าว

ดูทีวีออนไลน์ วันนี้ เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รร.เอส ซี ปาร์ค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยทีมทนายความ ออกแถลงการณ์ขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ชี้มูลความผิดโครงการรับจำนำข้าว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ปปช. ไม่เป็นธรรมกรณีชี้มูลความผิดกรณีตั้งข้อสังเกตุ ป.ป.ช. เร่งตัดสินคดีดังกล่าว และเลือกฟังเฉพาะพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน ไม่สอบสวนการลงบันทึกบัญชี

ในส่วนกรณีการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ยืนยัน เป็นการเดินทางส่วนตัวและมีการกำหนดการชัดเจน ก่อนที่ปปช.จะชี้มูลความผิด

พร้อมกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวข้อความทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ดิฉันเป็นราษฎร์เต็มขั้นก็ควรจะมีเสรีภาพเยี่ยงคนไทยทั่วไปยืนยันไม่ทิ้งพี่น้องคนไทและ พร้อมกลับมาประเทศไทย

กราบเรียนพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ดิฉันว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดิฉันนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า

1.กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่ เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวใช้เวลาเพียง แค่ 21 วัน และหลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉัน ภายใน 140 วันซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่น ๆ ที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าว ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล้าช้า . โครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช. กลับไม่มีความคืบหน้า อันถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน

2. นอกจากนี้ ในการปฏิบัติ ของ ป.ป.ช. เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์ รวบรัด เป็นกรณีพิเศษดังนี้ เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้ง ๆ ที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริง กรณีการลงบันทึกบัญชีที่ข้อแย้งและแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด กรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้าน นายวิชา รวม 3 ครั้ง

3.นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายระดับประเทศ นายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้นเป็นการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆหลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง

4. นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่า คดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้ และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำ ข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย

5. ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน และสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช. ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแล สต็อกข้าว ทั้งองค์การคลังสินค้า อ.ค.ส. และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร อ.ต.ก.ได้ทำสัญญาต่าง ๆกับเจ้าของคลังสินค้า และบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐ มีความเสียหายจากข้าวหาย และข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา

6. ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉันและเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยามเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆแต่ ป.ป.ช.กลับละเลย และปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง

7. ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆนั้น ขอยืนยันว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัว และมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้า แล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย”

ผู้โดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวที่กำลังจะเดินทางไปร่วมการประชุมเอดส์นานาชาติครั้งที่ 20 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

มิเชล ซิดิเบ กรรมการบริหารโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจผ่านทวิตเตอร์ว่า “ขอแสดงความอาลัยและภาวนาแก่ครอบครัวของผู้ที่จากไป พร้อมเที่ยวบิน MH17 ผู้โดยสารส่วนใหญ่กำลังจะเดินทางมาร่วมประชุม AIDS 2014 ที่เมลเบิร์น”

นักวิจัยด้านโรคเอดส์ผู้มีชื่อเสียง และอดีตประธานสมาคมเอดส์สากล (International AIDS Society) เป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่เดินทางมากับเที่ยวบินดังกล่าว ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าน่าจะถูกยิงตกโดยขีปนาวุธชนิดจากพื้นดินสู่อากาศ ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 298 คน บนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด

“มีรายงานว่า อดีตประธานสมาคมเอดส์สากลที่โดยสารเครื่องบินลำนี้ได้เสียชีวิตพร้อมกับนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนที่จะเดินทางมาประชุมโรคเอดส์ นี่เป็นข่าวที่น่าเศร้าเสียใจยิ่ง” ข้อความในทวิตเตอร์ของกองทุนเนชันแนล เอดส์ ทรัสต์ ระบุ

ด้านสมาคมเอดส์สากลก็ออกมาแถลงยืนยันว่า “เพื่อนร่วมงานและมิตรสหายของเราหลายคน” กำลังเดินทางมาร่วมประชุมด้วยเที่ยวบิน

MH17 การประชุมเอดส์นานาชาติซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ถือเป็นเวทีเสวนาสำหรับนักเคลื่อนไหวที่ต้องการเน้นย้ำปัญหาการแพร่กระจายของโรคเอดส์ในระดับรากหญ้า รวมถึงงบประมาณที่ยังขาดแคลน โดยมีกำหนดเปิดฉากขึ้นในวันที่ 20 ก.ค. นี้ และมีผู้ลงนามเข้าร่วมการประชุมราว 12,000 คน รวมถึงอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ของสหรัฐฯ ติดตามชม ทีวีออนไลน์ ดูทีวี ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9

 

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียแถลงเครื่องบินMH17 ตกในยูเครน

นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซียแสดงความรู้สึกตกใจอย่างมากหลังทราบข่าวเครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ ตกในยูเครน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเครื่องบินถูกยิงด้วยขีปนาวุธ ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด นับเป็นโศกนาฎกรรมที่เกิดกับเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์เป็นครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน หลังเครื่องบินMH370 ของสายการบินหายไปอย่างไร้รอ

นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ซึ่งแต่งกายในชุดดำ มีสีหน้าที่เศร้าหมอง ขณะแถลงข่าวในกรุงกัวลาลัมเปอร์ถึงโศกนาฎกรรมที่เกิดกับเครื่องบินโดยสารMH17 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่ตกในพื้นที่ทางภาคตะวันออกของยูเครน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเครื่องบินถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธ ขณะที่ญาติผู้โดยสาร ซึ่งมารวมตัวกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ต่างก็อยู่ในอาการเศร้าสลดและร่ำไห้

นายกรัฐมนตรีราซัค กล่าวว่า รู้สึกตกใจอย่างมากหลังทราบข่าวและว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือวันที่เศร้าสลดและเป็นปีแห่งความสูญเสียของมาเลเซีย พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ได้ส่งทีมสืบสวนเดินทางไปที่ยูเครนแล้วเพื่่อหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดอะไรกับเครื่องบิน นายราซัคยังบอกอีกว่าได้โทรศัพท์สนทนากับประธานาธิบดีเปโตร โปโลเชนโก้ ผู้นำยูเครนเกี่ยวกับการสืบหาสาเหตุของโศกนาฎกรรม โดยนายโปโรเชนโก้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างเต็มที่และเป็นอิสระ นอกจากนี้นายโปโรเชนโก้ยังยืนยันด้วยว่า จะเจรจากับกลุ่มกบฎทางภาคตะวันออกเพื่อให้จัดตั้งพื้นที่เพื่อมนุษยธรรมในจุดที่เครื่องบินตกเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ของยูเครนและมาเลเซียเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

นายราซัคยังกล่าวตอบข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดเครื่องบินโดยสารจึงใช้เส้นทางการบินเหนือเขตพื้นที่สู้รบในยูเครน โดยระบุว่า เป็นเส้นทางการบินที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศประกาศว่าเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยและว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่ชี้ชัดได้ว่าเครื่องบินถูกยิงด้วยขีปนาวุธหรือไม่ ขณะที่สายการบินชั้นนำของโลกต่างประกาศหลีกเลี่ยงเส้นทางการบินทางภาคตะวันออกของยูเครน

ประโยคสุดท้าย หนุ่มโพสต์เฟซบุ๊กก่อน MH17 ถูกยิงตก

ชมทีวีออนไลน์ช่อง 5จากกรณีเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 อีอาร์ ของ สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 เส้นทางกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ มุ่งหน้าสู่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ประสบเหตุตกในประเทศยูเครน เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 298 คน ท่ามกลางกระแสข่าวต่างๆ และแนวทางการสืบสวนข้อเท็จจริง โลกโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างแชร์ข้อความสุดท้ายของหนุ่มชาวดัตซ์ หนึ่งในผู้โดยสารบนเที่ยวบิน MH17

ภาพเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่ถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อ “Cor Pan” ถูกแชร์ส่งต่อไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นภาพสุดท้ายที่หนุ่มชาวดัตซ์คนหนึ่งโพสต์เอาไว้ ก่อนขึ้นเครื่องบินจากกรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยระบุข้อความเป็นภาษาดัตซ์ว่า “Mocht hij verdwijen ,zo ziet hit d’r uit” หรือแปลว่า “เผื่อเครื่องบินลำนี้หายไป จะได้รู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง” ข่าว http://tv.sanook.com/

 

ลือสนั่น! MH17 ถูกยิงตก เหตุคล้ายเครื่องบิน ปธน.ปูติน

สำนักข่าวต่างประเทศยังคงเกาะติดรายงานสถานการณ์ เหตุเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 เส้นทาง กรุงอัมสเตอร์ดัม มายัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งถูกขีปนาวุธยิงระหว่างผ่านน่านฟ้าประเทศยูเครน จุดที่เกิดข้อพิพากแบ่งแยกดินแดนระหว่างยูเครนกับรัสเซีย เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 298 คน ตามที่ได้รายงานข่าวไปแล้วนั้น

จากรายงานที่มีการเผยแพร่ออกมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการยืนยันชัดเจนว่า มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ที่ประสบเหตุตกในประเทศยูเครนนั้น ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าเป็นการก่ออาชญากรรมครั้งร้ายแรง ซึ่งระบุว่าเป็นขีปนาวุธจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ยิงใส่เครื่องบินลำดังกล่าว ขณะกำลังบินอยู่ในระดับ 33,000 ฟุต เหนือน่านฟ้าประเทศยูเครน

ขณะที่กลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนโดเนตสค์ กลุ่มฝักใฝ่รัสเซีย ได้ออกมาปฏิเสธเป็นต้นเหตุทำให้ มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ประสบเหตุตกในประเทศยูเครน พร้อมกับกล่าวอ้างว่า ฝ่ายรัฐบาลยูเครนต่างหากที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งนี้ เนื่องจากขีปนาวุธที่เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงใส่ คล้ายจะเป็นจรวดมิสไซล์ “BUK” ของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งมีวิถีการยิงค่อนข้างไกล แตกต่างจากยุทโธปกรณ์ของกลุ่มกบฏ ที่ไม่มีอาวุธกำลังแรงสูงขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม เหตุที่เกิดขึ้นกับ มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ยังคงเป็นปริศนา ประชาคมทั่วโลกต่างต้องการได้รับคำตอบที่แท้จริงว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับเครื่องบินเชิงพาณิชย์ลำดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในแวดวงการบินของโลก

ทั้งนี้ยังเกิดข้อสันนิษฐานว่า มาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 อาจจะเป็นแค่เหยื่อของความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค มีการตั้งข้อสังเกตว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 อีอาร์ ของ มาเลเซีย แอร์ไลน์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับ เครื่องบินอิลยูชิน IL-96-300 พียู ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีรัสเซีย “วลาดิเมียร์ ปูติน” ไม่ว่าจะเป็นขนาดรูปร่างหรือแถบสีรอบตัวเครื่องบินมีความคล้ายกันเป็นอย่างมาก

ดูทีวีรวบรวมข่าวเด็ดข่าวดังประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา

“แม่ชีเชอรี่“ น้ำตานองหน้า ยันลูกศิษย์ถวาย

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 3 ก.ค. ผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” รายงานว่า รับทราบจาก นายวรเดช กาญจนอโนทัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง อยู่บ้านเลขที่ 1142 หมู่ 4ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้จัดพิธีทำบุญพระสงฆ์ โดยได้นิมนต์พระครูสุธรรมวีราจารย์ (พระอาจารย์สมใจ) เจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร พร้อมพระลูกวัด รวม 6 รูป มาทำพิธีทางศาสนาเพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีนางสาวสุปริญญา ฮุนนางกูร หรือแม่ชีเชอรี่ รวมทั้งแม่ชีจากวัดถ้ำขวัญเมือง และอุบาสกอุบาสิกาจากจังหวัดชุมพร และใกล้เคียง ร่วมเดินทางมาที่บ้านหลังดังกล่าวด้วย

ผู้สื่อข่าวทีวีออนไลน์ “ข่าวสด” รายงานว่า เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พบมีรถยนต์ รถยนต์ตู้ รถยนต์กระบะ จอดอยู่ประมาณ 10 คัน เมื่อนายวรเดช เห็นผู้สื่อข่าวจึงเดินออกมาต้อนรับและพูดคุยด้วย แต่ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปภายในบ้าน โดยระบุว่า พระครูสุธรรมวีราจารย์(พระอาจารย์สมใจ) เจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าพบ ตนในฐานะเป็นลูกศิษย์จึงต้องทำตาม ซึ่งผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามถึงข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏตามข่าวเกี่ยวกับ แม่ชีเชอรี่ ที่พักอยู่ภายในบ้าน โดยนายวรเดชได้กล่าวว่า พระครู และแม่ชีเชอรี่ จะเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตนเอง

นายวรเดช กล่าวถึงได้พูดคุยเกี่ยวกับกรณีของแม่ชีเชอรี่ว่า ภาพที่ปรากฏตามสื่อที่แม่ชีกำลังขับรถสปอร์ตปอร์เช่ รวมทั้งใช้กระเป๋าข้าวของเครื่องประดับยี่ห้อแบรนด์เนมราคาแพง และมีถ่ายภาพคู่กับกองเงินจำนวนมาก ที่จริงแล้วในวันนั้นเป็นวันทำบุญ โดยมีศิษยานุศิษย์ เดินทางนำเงินมาร่วมบริจาคทำบุญให้กับทางวัดเป็นจำนวนมาก หลังจากนับเงินเสร็จ จะต้องรีบนำเงินไปเข้าบัญชีธนาคาร เนื่องจากที่วัดอยู่สายธรรมยุต จึงไม่สามารถเก็บเงินเอาไว้ที่วัดได้ ปกติจะมีลูกศิษย์ขับรถให้กับแม่ชี บังเอิญวันนั้นคนขับรถไม่อยู่ และทางวัดกำลังยุ่งมาก แม่ชีเชอรี่จึงตัดสินใจขับรถคันดังกล่าวเพื่อนำเงินไปเข้าบัญชีธนาคารด้วยตนเอง และหลังจากนำเงินไปเข้าบัญชีแล้วเสร็จ แม่ชีก็ขับรถกลับมาอยู่ที่วัดตามเดิม โดยไม่ได้ไปไหน แต่มาภายหลังปรากฏว่ามีลูกศิษย์ที่อยู่ในวัด เชื่อว่าลูกศิษย์คนนั้นคงหวังทำลายชื่อเสียงของแม่ชีเชอรี่ จึงนำภาพที่ถ่ายเอาไว้นำไปเผยแพร่เพื่อทำลายชื่อเสียง และตนเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันอย่างแน่นอน

นายวรเดช กล่าวถึง รถยนต์สปอร์ตปอร์เช่ที่เห็นในภาพข่าว เป็นรถยนต์ของลูกศิษย์ที่ไปนั่งวิปัสนาภายในวัดอยู่เป็นประจำ แต่ละครั้งจะนั่งวิปัสสนาทั้งหมด7 วัน กฎระเบียบของวัดคือหากลูกศิษย์เข้าไปนั่งวิปัสนา ทุกคนจะต้องฝากกุญแจรถยนต์ทุกชนิด รวมทั้งโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดไว้กับแม่ชีที่อยู่ในวัดและไม่จำเป็นต้องเป็นแม่ชีเชอรี่คนเดียว และด้วยความเคารพศรัทธาในตัวแม่ชีศิษย์จึงถวายรถคันดังกล่าวให้กับแม่ชี เพื่อนำไปใช้ในยามจำเป็นเพราะลูกศิษย์ที่มอบรถให้มีความเชื่อในตัวของแม่ชีว่า หากถวายรถให้จะทำให้กิจการหรือธุรกิจที่ครอบครัวทำอยู่จะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่งขึ้น และทุกครั้งเวลาไปไหนมาไหน จะมีลูกศิษย์เป็นคนขับให้ทุกครั้งเมื่อยามเดินทาง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ส่วนภาพที่ออกไปสู่สาธารณะก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาลงโทษกันขนาดนี้

ฐานะทางบ้านของแม่ชีเชอรี่ เท่าที่ทราบเป็นครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควร มีกิจการขายเครื่องไฟฟ้า ญาติพี่น้องก็ทำงานมั่นคงทุกคน แต่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมีเงินเป็นร้อยล้านหรือพันล้านตามที่เป็นข่าว” นายวรเดช กล่าวและว่า ตนต้องการจัดพิธีทำบุญ จึงได้นิมนต์พระครูสุธรรมวีราจารย์ (พระอาจารย์สมใจ)เจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง พร้อมพระลูกวัดรวม 6 รูป มาทำพิธีทางศาสนา หลังจากนั้นเมื่อเสร็จพิธีเจ้าอาวาสและพระลูกวัด รวมถึงแม่ชีก็เดินทางกลับวันนี้ ส่วนลูกศิษย์ที่มาร่วมทำบุญต่างเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี

ต่อมาเวลาประมาณ 10.00 น. พระครูสุธรรมวีราจารย์ จัดแถลงว่า ตามที่มีภาพข่าวปรากฏตามสื่อต่างๆในฐานะเจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง อาตมามีความรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะรายละเอียดของข่าวที่เผยแพร่ออกไปสู่ประชาชน ทำให้วัดเสื่อมเสีย ส่วนประเด็นเกี่ยวกับรถยนต์สปอร์ตปอร์เช่ นั้นขอชี้แจงว่าไม่ใช่รถยนต์ของวัด รวมทั้งไม่ใช่รถยนต์ของแม่ชีเชอรี่ตามที่เป็นข่าวด้วย แต่เป็นรถของลูกศิษย์ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัด ซึ่งเจ้าของรถยนต์มีความเคารพและศรัทธาในตัวแม่ชี จึงนำรถยนต์ให้แม่ชีทดลองขับเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่รถและเจ้าของรถเองเท่านั้น ซึ่งเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวก็ได้มาร่วมแถลงข่าวด้วย

เจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมืองระบุต่อว่า ส่วนประเด็นที่สงสัยว่าแม่ชีเชอรี่นำเงินของวัดไปซื้อกระเป๋าหรือของใช้ราคาแพง อาตมาได้รับการรายงานว่า แม่ชีไม่ได้นำเงินของวัดไปซื้อกระเป๋าหรือของใช้ราคาแพงส่วนตัวแต่อย่างใด ซึ่งกลุ่มลูกศิษย์ที่มีความเคารพและศรัทธาเป็นการส่วนตัวนำมาถวายให้กับแม่ชีใช้ ส่วนประเด็นการบริหารเงินของวัดนั้น ทางวัดได้มีคณะกรรมการในการบริหารจัดการเงินของวัด ซึ่งเงินที่ได้รับการบริจาคมานั้น ทางวัดจะนำไปฝากไว้ที่สถาบันการเงินตามบัญชีที่ผู้บริจาคประสงค์ทำบุญ ซึ่งในการเบิกจ่ายเงินนั้นจะต้องมีผู้มีอำนาจลงนาม 2 ใน 3 โดยลงนามร่วมกับเจ้าอาวาสเสมอ จึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินจากธนาคารได้ ซึ่งทางวัดก็จะจัดทำงบการเงินส่งให้สำนักพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดชุมพรเพื่อตรวจสอบทุกปีอยู่แล้ว

การที่แม่ชีเชอรรี่ขับรถและใช้กระเป๋าราคาแพงนั้น แม้การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นการกระทำที่ผิดศีลก็ตาม แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับสถานะภาพของนักบวช อาตมาก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว ซึ่งแม่ชีเชอรี่ก็รับปากว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก” พระครูสุธรรมวีราจารย์ กล่าว

ด้านนางสาวสุปริญญา ฮุนนางกุล หรือแม่ชีเชอรี่ อายุ 42 ปี แถลงถึงข้อเท็จจริงพร้อมน้ำตานองหน้า โดยมีพระครูสุธรรมวีราจารย์ และศิษยานุศิษย์ ร่วมรับฟัง ว่าตนขอกราบประทานอภัยต่อเจ้าคุณพระสังฆาธิการทุกระดับชั้น พระครูสุธรรมวีราจารย์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทุกจังหวัด ประธานสภาแม่ชีไทย ตลอดจนแม่ชีทุกท่าน ขอยืนยันว่าไม่เคยนำเงินของวัดไปซื้อกระเป๋าหรือสิ่งของราคาแพงมาใช้เป็นการส่วนตัว กระเป๋าดังกล่าวมีลูกศิษย์ที่มีความเคารพและศรัทธานำมาถวายให้ทั้งสิ้น

“ขอกราบประทานอภัยต่อทุกท่าน ที่ฉันก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมขึ้น ขอยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนา หรือสถาบันแม่ชีไทยเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งฉันได้รับการตักเตือนจากเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่ให้ทำการแก้ไขแล้ว ซึ่งต่อไปนี้ฉันจะใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติตนให้เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ดังที่ผ่านมาอีกต่อไป” แม่ชีเชอรี่กล่าว

ต่อมา แม่ชีเชอรี่ทำพิธีกราบไหว้ขอขมาโดยได้กราบและถวายพานพุ่มเพื่อเป็นการขอขมาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ร่วมในพิธีดังกล่าวด้วยอาการสงบ

ด้านนางสาวนวลวิรัช เครือบัว อายุ 33 ปี เจ้าของรถปอร์เช่ที่แม่ชีเชอรี่นำไปขับจนเกิดเรื่องใหญ่โต เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องรถว่า รถคันนี้เป็นของแฟนตนเองที่ตอนนี้อยู่ต่างประเทศ ตนได้เดินทางมาร่วมปฏิบัติธรรม ตนก็ทำตามความศรัทธาของตนที่เชื่อว่านำรถมาให้ทางวัดใช้แล้วจะได้บุญมากขึ้น จึงถือปฏิบัติเหมือนลูกศิษย์คนอื่นๆที่เขาก็เอามาจอดไว้ที่วัด โดยเมื่อเสร็จจากการนำมาให้วัดใช้ประมาณ 1 เดือนก็จะนำกลับไปใช้ทำธุรกิจเหมือนปกติ ไม่มีอะไร

ส่วนนางสาวศิรลักษณ์ เพ็ชรศิริ ชาวจันทบุรี และ นางสาวกุฑีรา สัตตะบงกช อดีตรองนางสาวไทย ได้เป็นตัวแทนลูกศิษย์เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องกระเป๋าแบรนด์เนมว่า ที่มาของกระเป๋ามาจากการที่ลูกศิษย์ได้เดินทางไปต่างประเทศและได้รวบรวมเงินกันซื้อมาฝาก แม่ชีเชอรี่ เพราะทุกคนต่างเห็นว่าขณะเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดได้รับการดูแลและการชี้แนะรวมถึงข้อแนะนำในการวางตัวเพื่ออยู่ระเบียบของวัดที่พึงปฏิบัติดังนั้นเมื่อคณะลูกศิษย์ได้เดินทางไปต่างประเทศ พวกตนไปเที่ยวต่างประเทศเรื่องนึกถึงและซื้อกระเป๋ามาฝากแม่ชี ก็ไม่ทราบว่าและมีเจตนาให้เกิดเองทั้งหมดขึ้น พวกตนคิดแค่อยากซื้อมาฝากท่านก็เท่านั้น

ติดตามอัพเดทข่าวดูทีวี ดูทีวีออนไลน์ ช่อง 9 ช่อง 5 เพิ่มเติมได้ที่ http://tv.sanook.com/

========================================

คสช.เด้ง ‘พงศพัศ‘ พ้นตำแหน่งเลขาฯ ปปส.

ขอขอบคุณภาพจาก INN

ผู้สื่อข่าวช่อง 3, ช่อง 7รายงานว่า (3 ก.ค.) เมื่อเวลา 20.45 น. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ออกคำสั่งฉบับที่ 84/2557 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง เพื่อให้การปฏิบัติของส่วนราชการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเหมาะสมยิ่งขึ้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคำสั่ง ดังนี้

ข้อ 1.ให้กำหนดตำแหน่งผู้ตรวจราชการ เพิ่มขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน 1 ตำแหน่ง

ข้อ 2.ให้พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ในสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ตามข้อ 1 เป็นพิเศษเฉพาะราย

ข้อ 3.ให้นายวิทยา สุริยะวงศ์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยสำนักงานกิจการยุติธรรม และให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์

ข้อ 4.ให้นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ พ้นจากตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม

ข้อ 5.ให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และให้กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ข้อ 6.ให้นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต พ้นจากตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

ข้อ 7.ให้ข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งข้างต้น ปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งตั้งแต่วันที่มีคำสั่งนี้เป็นต้นไป

ข้อ 8.ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงบประมาณ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเกี่ยวกับตำแหน่งและอัตราเงินเดือนของข้าราชการดังกล่าวให้เรียบร้อยโดยด่วน โดยจัดให้ดำรงตำแหน่งที่ไม่ต่ำกว่าตำแหน่งที่ข้าราชการผู้นั้นดำรงตำแหน่งอยู่เดิม

ข้อ 9. เมื่อมีการจัดตั้งรัฐมนตรีแล้วให้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามคำสั่งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฏหมาย

ข้อ 10. เมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งตามข้อ 2 แล้ว ให้ตำแหน่งดังกล่าวเป็นอันยกเลิก

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

========================================

ภาพร้านเหล้าเชียงใหม่จัดกิจกรรมให้คร่อมสาวเปลือยอก

ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก สำนักข่าว CNX NEWS

ผู้สื่อข่าวทีวีออนไลน์ช่อง 5รายงานว่า (4 ก.ค.) ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ซึ่งได้จัดกิจกรรมซึ่งคาดว่าเป็นการส่งเสริมการขายของทางร้าน โดยมีหญิงสาวเปลือยกายท่อนบน ก่อนที่จะถูกชายที่คาดว่าเป็นลูกค้าของร้านคร่อมร่าง ขณะที่อีกภาพก็เป็นหญิงสาวคนดังกล่าว ยืนถือขวดสุราอยู่บนโต๊ะ ทั้งๆ ที่เปลือยท่อนบน และอีกภาพหญิงเปลือยอกยืนให้ชายหนุ่มเข้ามาลวนลาม โดยทุกภาพมีคนมากมายยืนอยู่รอบๆ แต่ไม่มีลักษณะห้ามปรามแต่อย่างใด

โดยมีข้อความว่า “ถ้าใครไม่ได้มาร้านนี้ ใน ค่ำคืนที่ผ่านมา ถือว่า พลาด !!! “ ซึ่งมีผู้เข้ามาให้ข้อมูลว่าร้านดังกล่าวตั้งอยู่ที่อำเภอหางดง ต่อมาภาพดังกล่าวถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันชาวเชียงใหม่ที่เห็นภาพดังกล่าวต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม

ล่าสุด พ.ต.อ.วุฒิไกร ฦาชา ผกก.สภ.หางดงฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ภาพการแสดงลามาอนาจารที่ร้านดังกล่าว ตั้งอยู่ที่ถนนคันคลองชลประทาน หมู่ที่ 3 ต.หนองแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยจากการสอบถามทราบว่า นายอาร์ม อายุ 28 ปี เจ้าของร้าน ได้ว่าจ้างพริตตี้มา 3 คน ในราคา 500 บาท เพื่อเต้นโชว์แขกในร้าน เหตุเกิดเมื่อเวลา 23.00 น. ของวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะหญิงสาวในคลิปทราบชื่อเล่นว่า ตาล เมื่อถูกยุยงในขณะมึนเมา จึงเกิดความคึกคะนอง ได้ถอดเสื้อผ้า และเต้นโชว์ตามที่อยู่ในคลิป เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับนายอาร์ม ในข้อหา เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และจะเรียกบุคคลในคลิปมาดำเนินคดีในข้อหา กระทำการอันควรขายหน้าต่อธารกำนัล โดยเปลือย หรือเปิดเผยร่างกาย หรือกระทำการลามกอย่างอื่นต่อไป

========================================